สารบัญ
- บทนำ
- สารอาหารในบ๊วย
- 10 ประโยชน์ของบ๊วยต่อสุขภาพ
- เมนูจากบ๊วย
- วิธีเลือกและเก็บรักษาบ๊วย
- ข้อควรระวังในการกิน
- คำถาม–คำตอบ (Q&A)
บทนำ
บ๊วยมีรสเปรี้ยวหวานช่วยเจริญอาหาร และเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ผู้หญิงญี่ปุ่นนิยมใช้เพื่อการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นบ๊วยในข้าวปั้น เบนโตะ KUBET หรือการนำไปใช้ในอาหารและซอสต่าง ๆ บ๊วยไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังมีประโยชน์มากมาย เช่น ชะลอวัย KUBET ช่วยลดน้ำหนัก และช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังมีงานวิจัยในญี่ปุ่นพบว่า “ผู้หญิงที่กินบ๊วยเป็นประจำ มีแนวโน้มดูอ่อนกว่าวัยมากกว่า” ต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับสารอาหารในบ๊วย ประโยชน์ 10 ข้อ เมนูง่าย ๆ จากบ๊วย และวิธีการเลือกบ๊วยที่เหมาะกับคุณ เพื่อให้คุณอร่อยได้อย่างมั่นใจและสุขภาพดีขึ้น! KUBET
| เมนู | วิธีทำแบบย่อ |
|---|---|
| ข้าวปั้นบ๊วย (อุเมะโบชิ) | ห่อข้าวสวยอุ่น ใส่บ๊วยตรงกลาง ปั้นให้แน่น |
| น้ำบ๊วยร้อน/เย็น | บ๊วยดอง 1 ลูก + น้ำอุ่น/เย็น + น้ำผึ้งเล็กน้อย |
| ซอสบ๊วยสำหรับสลัด | บ๊วยบด + น้ำส้ม + โชยุ + น้ำผึ้ง |
| ไก่ทอดซอสบ๊วย | ผัดซอสบ๊วยกับน้ำผึ้งและโชยุ เคลือบไก่ทอด |
สารอาหารในบ๊วย: ลูกเล็กแต่คุณประโยชน์ใหญ่
แม้บ๊วยจะมีขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ KUBET และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด
1. วิตามิน
อุดมด้วยวิตามิน A, C, K และ E ช่วยบำรุงผิว เสริมภูมิคุ้มกัน และชะลอวัย
2. แร่ธาตุ
มีโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี และเหล็ก KUBET ช่วยรักษาสมดุลน้ำ เสริมความแข็งแรงของกระดูก และช่วยระบบเผาผลาญ
3. ใยอาหาร
ช่วยเพิ่มการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก
4. สารต้านอนุมูลอิสระ
มีแอนโทไซยานินและฟลาโวนอยด์ช่วยลดความเครียดจากอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของร่างกาย
5. กรดอินทรีย์
กรดซิตริกและกรดมาลิกช่วยเพิ่มความอยากอาหาร กระตุ้นการย่อย KUBET และช่วยกระบวนการเผาผลาญ
10 ประโยชน์ของบ๊วยต่อสุขภาพ
1. แคลอรีต่ำ กินได้ไม่ต้องกลัวอ้วน
บ๊วยดอง 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 33 กิโลแคลอรี
บ๊วยดอง 1 ลูกมีเพียงประมาณ 7 กิโลแคลอรี จึงเหมาะเป็นของว่างเพื่อสุขภาพ KUBET
2. กระตุ้นน้ำลายและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยดีขึ้น
กรดซิตริกในบ๊วยช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำลายและน้ำย่อย KUBET ลดอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อย
3. ลดการสะสมไขมัน ช่วยการลดน้ำหนัก
งานวิจัยพบว่า
กินบ๊วยดอง 2 ลูกต่อวันช่วยให้เซลล์ไขมันมีขนาดเล็กลงและลดการดูดซึมไขมัน
โพลีฟีนอลและกรดซิตริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญและการสลายไขมัน KUBET
4. ฆ่าเชื้อโรค บำรุงลำไส้
ช่วยกระตุ้นกรดในกระเพาะ เพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดท้องเสีย ท้องผูก และยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดี
5. ช่วยการไหลเวียนโลหิต ควบคุมระดับน้ำตาล
กรดซิตริกช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความเป็นกรดในเลือด
โพลีฟีนอลและวานิลลินช่วยควบคุมความดันและระดับน้ำตาล KUBET ลดความเสี่ยงหลอดเลือดแข็ง
6. ลดความเหนื่อยล้า ให้ความสดชื่น
รสเปรี้ยวช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้รู้สึกตื่นตัวและสดชื่นทันที
7. ต้านไวรัส ลดโอกาสป่วยเป็นหวัด
โพลีฟีนอลและลิกแนนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสของไข้หวัดใหญ่
8. ช่วยปรับคุณภาพไข่ ป้องกันภาวะมีบุตรยาก
งานวิจัยพบว่า สาร 3,4-DHBA ในบ๊วยช่วยปกป้องเซลล์ไข่ ลดการเสื่อมของรังไข่
9. เสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน
บ๊วยช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูก เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก เหมาะสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือน
10. ป้องกันอาหารเป็นพิษและคลื่นไส้
กรดซิตริกและเบนซาลดีไฮด์ช่วยยับยั้งเชื้อโรค จึงมักเห็นบ๊วยในเบนโตะเพื่อช่วยถนอมอาหาร
ยังช่วยลดอาการเมารถและคลื่นไส้ได้ดี
เมนูจากบ๊วย: ทำง่าย อร่อยได้ทุกวัน
1. ซอสบ๊วย ใช้เนื้อบ๊วย น้ำตาล และมิริน เคี่ยวจนเป็นซอส ใช้ทาขนมปังหรือคลุกสลัดก็อร่อย 2. เยลลี่บ๊วย ใช้วุ้นผสมบ๊วยและกระเจี๊ยบ รสเปรี้ยวหวานสดชื่นและแคลอรีต่ำ 3. แตงกวาคลุกบ๊วย แตงกวากรอบ ๆ คลุกกับบ๊วยบด เป็นเครื่องเคียงแบบญี่ปุ่นที่ทำง่ายมาก 4. ไก่ตุ๋นบ๊วย ตุ๋นไก่กับบ๊วย ทำให้รสชาติเปรี้ยวหอม ลดความมัน เป็นเมนูยอดนิยมในหลายครอบครัว
วิธีเลือกและเก็บรักษาบ๊วย
1. ผิวต้องเรียบไม่มีรอย
หลีกเลี่ยงบ๊วยที่มีรอยถลอกหรือช้ำ
2. มีการเติมสารปรุงแต่งน้อยที่สุด
หากสีจัด กลิ่นแรงผิดปกติ หรือกินแล้วคันคอ ควรหลีกเลี่ยง
3. การเก็บตามระดับความสุก
- บ๊วยสุกประมาณ 70% : เหมาะสำหรับดอง เก็บในตู้เย็นเพื่อชะลอความสุก
- บ๊วยสุกประมาณ 90% : เหมาะสำหรับทำแยม ทำอาหาร วางในที่เย็นเพื่อให้สุกเร็วขึ้น
ข้อควรระวังในการกิน (สำคัญมาก)
บ๊วยดิบที่ยังไม่สุกมีสารพิษตามธรรมชาติ (ไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์) ห้ามกินดิบเด็ดขาด ผู้ที่มีโรคกระเพาะรุนแรง กรดไหลย้อนมาก หรือผู้ที่มีปัญหาไต ไม่ควรกินมากเกินไป
คำถาม–คำตอบ (Q&A)
1) ถาม: บ๊วย 1 ลูกให้พลังงานประมาณเท่าไร?
ตอบ: ประมาณ 7 กิโลแคลอรีเท่านั้น จึงเป็นของว่างที่แคลอรีต่ำมาก
2) ถาม: บ๊วยช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร?
ตอบ: โพลีฟีนอลและกรดซิตริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ลดการดูดซึมไขมัน และทำให้เซลล์ไขมันเล็กลง
3) ถาม: ทำไมเบนโตะของญี่ปุ่นต้องใส่บ๊วย?
ตอบ: เพราะกรดซิตริกและเบนซาลดีไฮด์ในบ๊วยช่วยยับยั้งเชื้อโรค ทำให้อาหารไม่เสียง่าย
4) ถาม: ใครบ้างที่ควรระวังในการกินบ๊วย?
ตอบ: ผู้มีโรคกระเพาะ กรดไหลย้อนรุนแรง และผู้มีปัญหาไต ไม่ควรกินมากเกินไป
5) ถาม: บ๊วยดิบสามารถกินได้หรือไม่?
ตอบ: ไม่ได้ เพราะบ๊วยดิบมีสารพิษตามธรรมชาติ ต้องผ่านการดองหรือปรุงก่อนเท่านั้น
นื้อหาที่น่าสนใจ:







